หน้าหลัก ค้นหา ติดต่อ สมุดโทรศัพท์ การเรียน/การสอน เหตุการณ์ แผนที่เว็บ Thai/Eng
MCU

หน้าหลัก » นายฉลอง ช่วยธานี
 
เข้าชม : ๒๐๐๐๔ ครั้ง
มาตรการทางกฎหมายในการบริหารจัดการศาสนสมบัติวัด และศาสนสมบัติกลาง
ชื่อผู้วิจัย : นายฉลอง ช่วยธานี ข้อมูลวันที่ : ๑๐/๐๙/๒๐๑๓
ปริญญา : พุทธศาสตรมหาบัณฑิต(พระพุทธศาสนา)
คณะกรรมการควบคุมวิทยานิพนธ์ :
  ผศ.ดร.สุรพล สุยะพรหม, พธ.บ., Ph.D. (Pol.Sci.)
  พระมหาบุญเลิศ อินฺทปญฺโญ,ผศ. พธ.บ., ศศ.ม., รป.ม.(การจัดการความขัดแย้ง)
  ผศ.ดร.ธัชนันนท์ อิศรเดช พธ.บ., M.A.,Ph.D. (PoI.sc.)
วันสำเร็จการศึกษา : ๒๕๕๖
 
บทคัดย่อ

 

บทคัดย่อ

 

วิทยานิพนธ์ฉบับนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาแนวคิดเกี่ยวกับวัด สถานะทางกฎหมายของวัดและศาสนสมบัติกลาง ศึกษาการบริหารการจัดประโยชน์ศาสนสมบัติ และศึกษามาตรทางกฎหมาย      ในการบริหารจัดการศาสนสมบัติ การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพโดยการศึกษาวิจัยเชิงเอกสาร และการสัมภาษณ์แบบเจาะลึก (In-depth Interview) กับผู้ให้ข้อมูลที่สำคัญ (Key Informant) จำนวน ๒๒ รูป/ท่าน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้าง (Structured Interview Form) จำนวน ๑ ชุด สำหรับสัมภาษณ์พระสังฆาธิการและผู้ที่เกี่ยวข้อง วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้เทคนิคการวิเคราะห์เนื้อหาประกอบบริบท (Content analysis Technique) ตามโครงสร้างของแบบสัมภาษณ์ประกอบการสังเกตของผู้วิจัย

ผลการวิจัยพบว่า

๑.กรณีการบริหารจัดการศาสนสมบัติของวัดมีพระสงฆ์นั้น มี”หลักการ”               และมี “วิธีการ” ตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์และกฎกระทรวง  ดังนั้น เจ้าอาวาสจึงมีอำนาจในการบริหารจัดการศาสนสมบัติของวัดอันมีศาสนกิจหลัก และสามารถจัดกิจกรรมอื่น ๆ อันเป็นรายได้  ของวัดเพื่อนำปัจจัยมาทำนุบำรุงรักษาดูแลวัดได้ ในกรอบแห่งกฎหมายและพระธรรมวินัย โดยมีหลักการและวิธีการในการจัดการศาสนสมบัติของวัดไว้เพียงกว้าง ๆ เท่านั้น และกำหนดเพียงหลักเกณฑ์ในการบริหารจัดการศาสนสมบัติของวัดเฉพาะในกรณีของการเช่าเท่านั้น ไม่รวมถึงการทำนิติกรรมสัญญาอื่น ๆเช่น ซื้อขาย แลกเปลี่ยน เป็นต้น  นอกจากนี้ กฎกระทรวง กฎมหาเถรสมาคม บางส่วนไม่เหมาะสม เห็นควรแก้ไขปรับปรุงให้เหมาะกับสภาพปัจจุบัน เช่น การควบคุมตรวจสอบและการถ่วงดุลอำนาจของผู้เกี่ยวข้องกับวัด  เป็นต้น

๒. กรณีการบริหารจัดการศาสนสมบัติของวัดร้าง มีหลักการ คือให้สำนักงานพระพุทธ -ศาสนาแห่งชาติมีหน้าที่ปกครองดูรักษาที่วัดร้าง ที่ธรณีสงฆ์ รวมถึงทรัพย์สินของวัดนั้นด้วย           เมื่อวัดร้าง คือวัดที่ไม่มีพระภิกษุอยู่อาศัย ตราบใดที่ยังไม่มีการยุบเลิกวัด หรือรวมกับวัดอื่น กฎหมายระบุให้ฝ่ายราชอาณาจักรปกครองดูแลรักษา ทำหน้าที่เสมือนเจ้าอาวาสวัดร้างนั้น แต่จากการศึกษาพบว่ายังไม่มี “วิธีการ”ในการปกครองดูแลรักษาเช่นวัดมีพระสงฆ์ เมื่อวัดร้างยังมีฐานะเป็นนิติบุคคล ดังนั้น จึงควรนำมาตรการทางกฎหมายคือ วิธีการจัดการศาสนสมบัติของวัดมีพระสงฆ์ตามข้อ ๑       มาปรับใช้เท่าที่จำเป็น ซึ่งบทบัญญัติมาตรา ๔๐ (๒) ระบุไว้ชัดว่า “ทรัพย์สินของวัด ได้แก่ ทรัพย์สินของวัดใดวัดหนึ่ง” ซึ่งรวมถึงวัดร้างด้วย จึงไม่ควรนำไปรวมกับศาสนสมบัติอื่น

๓. กรณีการบริหารจัดศาสนสมบัติกลาง มีหลักการคือ ให้สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติเป็นผู้มีอำนาจหน้าที่ดูแลรักษาและจัดการศาสนสมบัติกลาง  เนื่องจากศาสนสมบัติกลาง     ไม่มีสภาพเป็นนิติบุคคลตามกฎหมาย บทบัญญัติมาตรา ๔๐ วรรคสอง จึงให้ถือว่าสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติเป็นเจ้าของศาสนสมบัติกลางนั้นด้วย ทั้งนี้ เพื่อเป็นการตัดปัญหาเกี่ยวกับ
สิทธิในการทำนิติกรรม และการดำเนินคดีทางศาลเกี่ยวกับศาสนสมบัติกลาง แต่หาได้มุ่งหมายจะให้เป็นเจ้าของศาสนสมบัติกลางแท้จริงไม่ และไม่มีบทบัญญัติกำหนดเกี่ยวกับหลักเกณฑ์ วิธีการใน
การบริหารจัดการศาสนสมบัติกลางไว้เช่นกัน  ปัจจุบันดำเนินการตามกฎหมายทั่วไป จึงขอเสนอแนะให้แก้ไขปรับปรุงโดยมีองค์กรหรือคณะบุคคลเป็นผู้บริหารศาสนสมบัติ อาจจะกำหนดรูปแบบการบริหารจัดการ มีกระบวนการในการตรวจสอบ กำกับดูแล และประเมินผลการบริหารจัดการ เป็นต้น

นอกจากนี้ เมื่อรัฐมีหน้าที่ให้ความอุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนาตาม   มาตรา ๗๙ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. ๒๕๕๐  ดังนั้น จึงต้องมีพระราชบัญญัติ “อุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนา หรือพระราชบัญญัติอื่น ๆ เพื่อเป็นหลักในการบริหาร และเห็นควรแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ และพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ (ฉบับที่ ๒)      พ.ศ.๒๕๓๕ รวมถึงกฎกระทรวงฉบับที่ ๒ (พ.ศ.๒๕๑๑) เพื่อกำหนดหลักเกณฑ์เป็นการเฉพาะ       สำหรับกระบวนการบริหารจัดการศาสนสมบัติวัดและศาสนสมบัติกลาง ให้ครอบคุลมและเหมาะสมกับสถานะของวัดและสภาพเศรษฐกิจของสังคมไทยในปัจจุบัน

ดาวน์โหลด

 
 
สงวนลิขสิทธ์โดยมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธ์ พ.ศ. ๒๕๓๗ 
พัฒนาและดูแลโดย : webmaster@mcu.ac.th 
ปรับปรุงครั้งล่าสุดวันพฤหัสบดี ที่ ๙ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๕๕